ถือศีลกินผัก 2563 ทริปเติมแต้มบุญ เสริมดวงเฮงกันที่ "ภูเก็ต"

avatar writer
โดย : imnat
avatar writer15 ต.ค. 2563 avatar writer3.7 K
ถือศีลกินผัก 2563 ทริปเติมแต้มบุญ เสริมดวงเฮงกันที่ "ภูเก็ต"


หน้าตาดีอย่างเดียวไม่ได้ จิตใจเราต้องบริสุทธิ์ด้วย
ได้เวลาเติมแต้มบุญ กับเทศกาลที่ทุกคนรอคอย
กินเจ ปีนี้ตรงกับวันที่ 17-25 ตุลาคม นะจ๊ะ


พอเข้าสู่เดือนตุลาคม สายบุญทั้งหลายก็ได้เวลาล้างท้องเตรียมความพร้อมก่อนจะถึงเทศกาลกินเจ ไม่ว่าจะเป็นคนที่กินเจเป็นประจำอยู่แล้ว รวมไปถึงมือใหม่ที่เริ่มให้ความสนใจกับการกินเจ งานนี้นอกจากจะได้บุญ การกินเจยังส่งผลดีต่อสุขภาพถ้าหากเราเลือกกินอาหารที่ดีและมีประโยชน์ และสำหรับใครที่กำลังแพลนทริปในช่วงเทศกาลกินเจนี้กันอยู่ล่ะก็ ปันโปรขอพาทุกคนไปบุกจังหวัดที่มีชื่อเสียงในช่วงเทศกาลกินเจ หรือที่ในท้องถิ่นเรียกกันว่า เทศกาลถือศีลกินผัก อย่าง 'ภูเก็ต' กับ Trip ที่ไปในช่วงวันหยุดเสาร์ - อาทิตย์ได้ ไม่ต้องลางานเพิ่ม!

 


| Station 1 : เปิดวันมาด้วยงานไหว้


ข้อปฏิบัติของเทศกาลกินเจ จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่การงดเนื้อสัตว์เฉยๆ อย่างคนจีนรวมไปถึงคนไทยเชื้อสายจีนที่เคร่งครัดมากๆ ก็จะมีการออกไปทำบุญด้วยเช่นกัน ซึ่งเชื่อกันว่าถ้าหากเรางดเว้นการกินเนื้อสัตว์ พร้อมๆ กับการสั่งสมบุญ ปฏิบัติตนอยู่ในศีลธรรม ก็จะยิ่งส่งเสริมให้คนๆ นั้นมีความสะอาดบริสุทธิ์ ทั้งร่างกายและจิตใจ

 

 

และเมื่อพูดถึงการไหว้เทพเจ้าในช่วงเทศกาลกินเจ บอกเลยว่าแทบไม่ต่างจากเวลาที่เราไหว้เทพเจ้าตามปกติ ขึ้นอยู่กับเทพเจ้าที่เรานับถือ  ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีการนับถือเทพเจ้าและมีความเชื่อเกี่ยวกับเทศกาลกินเจต่างกันออกไป และเมื่อพูดถึงจังหวัดที่มีชื่อเสียงและถูกพูดถึงมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น ภูเก็ต ที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับเทศกาลกินเจนี้กันมากๆ สังเกตได้จากพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ที่จัดขึ้นในช่วงเทศกาลกินเจทุกปี ซึ่งปันโปรเองก็ได้มีโอกาสแวะเวียนไปที่ อ๊ามจุ้ยตุ่ย และอ๊ามปุดจ้อ ศาลเจ้าชื่อดัง 2 แห่งที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองภูเก็ต

 

 

เริ่มกันที่ศาลเจ้าปุดจ้อ ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงโดดเด่นเรื่องของการเสี่ยงเซียมซียา มักจะเป็นที่พึ่งพาให้กับคนที่เจ็บป่วยหรือมีเรื่องค้างคาใจแล้วอยากหาทางออก สำหรับศาลเจ้านี้จะมีองค์เทพประจำศาลเจ้านั่นก็คือ พระโพธิสัตว์กวนอิม หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่าองค์ปุดจ้อ ที่ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของศาลเจ้า

และสำหรับขั้นตอนของการไหว้เทพเจ้าของศาลเจ้าแห่งนี้บอกเลยว่ามือใหม่ไหว้ได้สบายมาก ปันโปรแนะนำให้สังเกต 'ตัวเลข' ที่เรียงลำดับตั้งแต่ 1 เป็นต้นไป ซึ่งนั่นแหละคือ Station ที่ให้เราไหว้ไปทีละจุด โดยเริ่มตั้งแต่จุดที่ 1 ซึ่งจะเริ่มจากทางด้านหน้าของศาลเจ้า (ไหว้องค์ปุดจ้อก่อน) แล้วไล่เวียนซ้ายไปเรื่อยๆ จนถึงด้านใน 

 

 

สำหรับอุปกรณ์การไหว้ต่างๆ ถ้าไม่สะดวกก็ไม่ต้องนำมาก็ได้ เพราะที่ศาลเจ้าเค้ามีบริการธูป เทียน กระดาษทอง รวมไปถึงน้ำมันตะเกียงไว้คอยให้บริการอยู่แล้ว หรือใครที่อยากหาซื้อเพิ่มเติม แนะนำให้ซื้อเป็นดอกบัวขาว 9 ดอก, ผลไม้มงคลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นส้ม กล้วย ขนมมงคลอย่างขนมเต่าแดง ขนมถ้วยฟู โดยของที่นำมาไหว้ควรจะเป็นเลขคี่ เมื่อไหว้เสร็จแล้วอย่าลืมเผากระดาษทองที่ได้มาตั้งแต่ตอนแรกพร้อมอธิษฐานขอพรก็เป็นอันจบพิธีจ้า

 

 

หากใครที่มาศาลเจ้าปุดจ้อ อย่าลืมแวะมาที่ศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยที่ตั้งอยู่ข้างๆ กัน  สำหรับศาลเจ้าแห่งนี้จะโดดเด่นเรื่องของการทำพิธี ซึ่งในช่วงเทศกาลกินเจของทุกปี ชาวบ้านที่อยู่ในละแวกก็จะมีการมารวมตัวเพื่อประกอบพิธีไหว้เทพเจ้าที่ลานโล่งบริเวณหน้าศาลเจ้า จากการสอบถามชาวบ้านแถวนั้นทำให้ปันโปรทราบว่าเทศกาลกินเจที่ศาลเจ้าแห่งนี้ จัดยิ่งใหญ่เป็นประจำทุกปี

มีคนมารวมตัวเป็นหลักร้อยคน มีกิจกรรม รวมไปถึงพิธีกรรมที่ให้คนได้มีส่วนร่วมกัน อีกทั้งบริเวณตรงข้ามของศาลเจ้าก็มีพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติความเป็นมาของเทศกาลกินเจ และความสำคัญของศาลเจ้าแห่งนี้ด้วย มาทั้งทีรับรองว่าคุ้ม ได้ถึง 2 ศาลเจ้า รวมไปถึงอีก 1 พิพิธภัณฑ์กันเลย!

 

 

สำหรับองค์เทพที่สำคัญประจำศาลเจ้าแห่งนี้ ได้แก่ กิ๊วอ๋องไต่เต่ และเต้าโบ้เทียนจุน โดยทุกๆ ปีในช่วงเทศกาลกินเจ ศาลเจ้าแห่งนี้จะประกอบพิธีไหว้เทพเจ้าทั้งสององค์เพื่อทำการสืบชะตา ไม่ว่าจะเป็นการต่ออายุให้ยืนยาว ขอพรให้พบเจอแต่ความสุข รวมไปถึงขจัดโรคภัยต่างๆ ให้หมดไป 

โดยใช้ตะเกียงน้ำมันเป็นสื่อกลาง เพราะชาวจีนเชื่อกันว่า ตะเกียงน้ำมันเป็นสัญลักษณ์ของดาวปั๊กเต้าซึ่งมีอิทธิพลต่อชะตาชีวิตของคนจีน ดังนั้นหากใครที่มาทำพิธีในช่วงเทศกาลกินเจที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ก็จะมีโอกาสได้เห็นเครื่องบูชาที่สำคัญอย่าง เต้าเต๊งบี้ หรือตะเกียงน้ำมัน เครื่องบูชาที่สำคัญที่สุดของพิธีกินเจกันด้วย

 

 


| Station 2 : ไหว้เสร็จก็ได้เวลาหาอะไรทานกันต่อ


รู้นะ ว่าหลายคนมักจะมองภาพของอาหารเจว่าดูไม่น่ากิน มีแต่อะไรเดิมๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้ร้านค้าเค้าก็เริ่มมีการปรับตัว เปลี่ยนรูปแบบ รวมไปถึงการดัดแปลงเมนูอาหารเจออกมาให้มีหน้าตาที่น่าทานขึ้น และที่สำคัญปันโปรขอนั่งยัน! นอนยัน! ยืนยัน! ว่าอาหารเจไม่ได้หากินยากอย่างที่คิด

และที่สำคัญคือ แม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงเทศกาลกินเจ แต่ก็จะมีบางร้านอาหารที่เค้าเปิดให้บริการอยู่ตลอด อย่างร้านอาหารสำหรับคนที่กินมังสวิรัติ สายกินเจอย่างเราก็สามารถทานได้ หรืออย่างใครที่เป็นสายคาเฟ่แต่กินเจหรือกินมังอยู่ก็ไม่มีปัญหา เดี๋ยวปันโปรจะพาไปพิสูจน์!

 

 

สำหรับสายกินเจอย่างเรา นอกจากร้านอาหารเจที่ปักธงสีเหลืองเด่นเป็นสง่าจะตอบโจทย์เราได้แล้ว ปันโปรขอแนะนำให้ลองมองหาร้านอาหารมังสวิรัติกันดู ไม่ว่าจะเป็นร้านไหน บอกเลยว่ามีเมนูที่ตอบโจทย์คนกินเจอย่างเราแน่นอน! จากศาลเจ้าจุ้ยตุ่ยปันโปรใช้เวลาขับรถไม่นานก็มาถึงร้านอาหารมังสวิรัติอย่าง ร้านดอกบัว บอกเลยว่าใครที่กินเจสามารถแวะร้านนี้ได้สบาย และนอกจากทางร้านจะมีเมนูอาหารเจให้เลือกเพียบแล้ว บรรยากาศของร้านก็คือดี แถมหน้าตาของอาหารก็คือน่ากิน จนเกือบลืมไปเลยว่านี่คืออาหารเจ อิอิ

 

 

นอกจากนี้ถ้าเป็นพวกเครื่องดื่ม ก็พยายามหลีกเลี่ยงเมนูเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่ทำมาจากนมวัว หรือถ้าแจ้งกับพนักงานว่าขอเปลี่ยนมาใช้นมถั่วเหลืองแทนได้ก็จะดีมาก หรือใครที่อยากเซฟสุดๆ ปันโปรขอแนะนำพวกชาใส อันนี้สามารถดื่มได้ เจไม่แตกแน่นอน! 

ยกตัวอย่างเมนูชาใสจากร้าน ANNYTIME คาเฟ่สีชมพูที่อยู่ติดกับศูนย์การค้า Limelight Avenue Phuket สำหรับเมนูที่ปันโปรสั่งมาก็จะเป็นโอ๊ะเอ๋วโรเซ่ (ชากุหลาบ) และชาแอปเปิ้ล บอกเลยว่าร้อนๆ มา ได้ชา 2 แก้วนี้ก็ชื่นใจจจจ~

 

 

สำหรับใครที่เป็นสายของหวานอาจจะมีกุมขมับกันบ้าง เพราะปกติของหวานต่างๆ ที่เรากินกันมักจะมีส่วนผสมหลักๆ มาจากนม หรือไม่ก็เนย อันนี้ปันโปรแนะนำให้เลือกดูกันดีๆ อย่างบางร้านก็จะบอกชัดเจนมากกว่าอันนี้เป็นเมนูเจนะ อันนี้เป็นมังสวิรัตินะ ถ้าเจอแบบนี้ก็จะง่ายหน่อย แต่ถ้าบนเมนูไม่มีอะไรบอก ปันโปรแนะนำให้ลองถามพนักงานที่ร้านดูก่อน ว่าเมนูนี้คนกินเจสามารถกินได้ไหม และไหนๆ เราก็พาดื่มชาใสเย็นๆ กันไปแล้ว หลายคนอาจจะยังไม่จุใจ ปันโปรเลยขอพาเขยิบมาที่ย่านเมืองเก่าภูเก็ตกันต่อ กับขนมหวานจากร้าน Torry's Ice Cream 

 

 

สำหรับร้านนี้จะขึ้นชื่อเรื่องของไอศกรีม Homemade ที่ต้องบอกเลย 'เจทั้งร้าน' แต่ก็จะมีเมนูที่ดังๆ ชนิดที่ว่าใครมาก็ต้องสั่งอย่าง O-Aew เมนูชื่อดังของร้าน เป็นของหวานพื้นเมืองภูเก็ต มีลักษณะคล้ายวุ้นทำจากเมล็ดโอ๊ะเอ๋ว ทานคู่กับถั่วแดงและไอศกรีมโอ๊ะเอ๋วซอเบท์

ส่วนอีกหนึ่งเมนูก็จะเป็น Bi-co-moi ข้าวเหนียวดำราดกะทิ เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมกะทิอัญชัน หวานน้อยกำลังดี ถูกใจสายสุขภาพแน่นอน และนี่ก็เป็นตัวอย่างของเมนูที่ดูเหมือนจะไม่เจ แต่ความจริงแล้วเจนะ และยิ่งใกล้ช่วงเทศกาลกินเจแบบนี้ รับรองว่าหาเมนูอาหารเจกินได้สบายๆ ดังนั้นไม่ต้องวอรี่กันไป ถ้าไม่แน่ใจก็สอบถามคนขายกันได้เลย บางทีอาจจะเจอเมนูที่น่าสนใจแบบปันโปรนี้ก็ได้นะ

 

 

ไหนๆ ก็แวะมาย่านเมืองเก่าภูเก็ตกันแล้ว นอกจากของกินอร่อยๆ อย่าลืมเดินชมบรรยากาศกันด้วย เพราะมันสวยมาก! และที่สำคัญคือมีมุมให้ถ่ายรูปเยอะมาก! (ถูกใจสายถ่ายรูปเค้าเลยแหละ) สำหรับใครที่ตามรอยปันโปรไปเที่ยว ก็อย่าลืมแวะมาเม้าท์มอยให้ฟังกันด้วยนะ หรือใครไปลองเมนูไหนมา มารีวิวให้ปันโปรด้วยนะว่าชอบไม่ชอบยังไง

และสำหรับใครที่ไม่สะดวกก็ไม่จำเป็นต้องเดินทางมาไกลถึงภูเก็ต เพราะทุกคนสามารถเลือกไปประกอบพิธีสำคัญนี้กันได้ที่ศาลเจ้าใกล้บ้าน เพราะตราบใดที่เรามีความเชื่อและศรัทธา ปันโปรมองว่าจะทำบุญที่ไหนก็ได้บุญไม่ต่างกันน้า

 


สรุปให้ก่อนไปเที่ยว


  • ภูเก็ต อีกหนึ่งสีสันของเมืองท่องเที่ยว ที่สายเที่ยวอย่างเราไม่ควรพลาด! เพราะนอกจากจะเที่ยวได้ตลอดทั้งปีแล้ว ในช่วงเทศกาลสำคัญๆ อย่างกินเจนี้ ถือเป็นอีกหนึ่งบรรยากาศที่หาชมได้ยาก ถ้าใครมีเวลาว่างปันโปรแนะนำให้รีบจองตั๋วมาเที่ยวกันนะจ๊ะ
  • สำหรับงานพิธีที่ศาลเจ้า โดยปกติแล้วจะเริ่มก่อนวันกินเจ 1 วัน (สำหรับปีนี้ได้แก่วันศุกร์ที่ 16 ต.ค. ) ใครที่อยากชมบรรยากาศของงานเทศกาลกินเจ ปันโปรแนะนำให้ไปวันนี้กันนะจ๊ะ
  • สำหรับใครที่กินเจ แล้วอยากลองเปลี่ยนบรรยากาศมาลองอะไรให้มันเทรนดี้ขึ้นมาหน่อย ก็ลองดูรีวิวจากปันโปรเป็นแนวทางกันได้นะ โดยเฉพาะสายชอบเที่ยวคาเฟ่ แต่มักจะมีปัญหาเวลาหาอะไรทาน บอกเลยว่าไม่ได้ยากอย่างที่คิดน้าา

 

  • avatar writer
    โดย imnat
    เสพติดการอ่าน & ดูหนัง ตอนนี้อยู่ในระหว่างการทำตามความฝันให้สำเร็จ :)
แสดงความคิดเห็น