รวมมาให้ 50 คำคัพท์นักช้อป! รู้ไว้ซีเอฟของเพลิน ไม่เป็นงงอีกต่อไป

avatar writer
โดย : ncp
avatar writer15 มิ.ย. 2563 avatar writer32.5 K
รวมมาให้ 50 คำคัพท์นักช้อป! รู้ไว้ซีเอฟของเพลิน ไม่เป็นงงอีกต่อไป

รวมมาให้แล้วจ้ากับคำศัพท์ช้อปปิ้งออนไลน์
ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่หรือมือโปรก็ไม่ควรพลาดนะจ๊ะ


ไปจ้าา !! เพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นนักช้อปมือโปร, นักช้อปหน้าใหม่, หรือจะเป็นใครก็แล้วแต่ที่เป็นช้อปปิ้งเลิฟเวอร์เข้ามารวมกันตรงนี้เลยจ้า เพราะวันนี้แอดได้รวบรวมคำศัพท์กว่า 50 คำเกี่ยวกับการช้อปออนไลน์มาฝากเพื่อนๆ ทุกคนกัน บอกเลยนอกจากจะได้ความรู้เพิ่มเติมแล้ว สิ่งนี้ยังช่วยให้การช้อปของเรานั้นง่ายและสะดวกมากยิ่งขึ้นอีกด้วย โอ้ยเลิศมากอ่ะ ถ้าอย่างนั้นรอช้าไม่ได้แล้วเรารีบไปเข้าห้องเรียนคาบภาษาอังกฤษกันเลยดีกว่าจ้า ^^ Go Go Go !!


ประเภทที่ 1 สินค้า/ร้านค้า


 

1. New Arrival = สินค้าใหม่ล่าสุด

สินค้าที่เข้าร้านมาใหม่ล่าสุด โดยทางร้านค้าต่างๆ จะเขียนกำกับไว้เป็นเป็นสัญญาณให้ลูกค้าได้เลือกช้อป ซึ่งอาจจะเป็น เสื้อผ้าแบบใหม่, กางเกงสไตล์เกาหลีรุ่นใหม่, กระโปรงสีใหม่, หรืออาจจะเป็นเสื้อสไตล์ใหม่ที่กำลังฮิตๆ เป็นต้น

2. Best Seller = ขายดีที่สุด

สำหรับสินค้าชิ้นไหนที่เป็นไอเทมที่ลูกค้าซื้อมากที่สุด ทางร้านค้าจะก็ปักป้ายไว้ว่าชิ้นนี้เป็น Best Seller และนี้ถือได้ว่าเป็นอันหนึ่งปัจจัยที่ทำให้สินค้าชิ้นนั้นๆ ดูน่าสนใจและดึงดูดกับลูกค้ามากยิ่งขึ้น ถ้าเพื่อนๆ เห็นคำนี้ขึ้นเมื่อไรก็อย่าลืมแวะเข้าไปชมกันนะคะ

3. Order Status = สถานะการสั่งซื้อ

สำหรับผู้ช้อปสามารถทำการเช็กข้อมูลต่างๆ ได้ เช่น ตอนนี้การช้อปอยู่ในช่วงจ่ายเงิน, ชำระเงินเรียบร้อย, กำลังจัดส่ง หรือส่งสินค้าเรียบร้อย โดยการนำรหัสสินค้าไปเช็กกับทางเว็บไซต์

4. Total Amount = เงินค่าสินค้าทั้งหมดกี่บาท

ร้านค้าต่างๆ พอลูกค้าสั่งซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้วเขาก็จะรวมยอดเงินค่าสินค้าทั้งหมดให้ หรือเรียกง่ายๆ ว่าจำนวนเงินรวมว่าสินค้าทั้งหมดที่เราได้สั่งซื้อไปเป็นจำหน่วยเท่าไรบ้าง เพื่อแจ้งให้ลูกค้าได้ทราบ

5. Subtotal = ยอดรวม

หลังจากเพื่อนๆ สั่งซื้อสินค้าเรียบร้อยแล้ว ทางร้านจะยอดรวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดมาให้ และรวมไปถึงค่าส่งต่างๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อให้ลูดค้าได้ทราบจำหน่วยตัวเลขต่างๆ ที่แน่ชัด ก็จะมีความเหมือนกับข้อ 4 นั่นล่ะ แต่แต่ละเจ้าอาจจะใช้แตกต่างกันไปเนอะ

6. Out Of Stock = ไม่มีของ

หากเพื่อนๆ กำลังช้อปแบบเพลินๆ แล้วอยู่ดีๆ เราจะกดสั่ง แต่ทำไมร้านค้ามันขึ้นว่า Out Of Stock ไม่ต้องสับสนกันไปนะคะ เพราะนี้คือทางร้านยังไม่มีของเข้ามาจ้า บางแพลตฟอร์มอาจจะมีให้เราลงทะเบียนรอของเอาไว้ เพื่อหากสินค้าเข้ามาเติมเมื่อไหร่ก็จะมีการแจ้งเตือนเข้ามา

7. Wish List = เลือกสินค้าที่สนใจไว้ดูก่อนได้

การช้อปปิ้งออนไลน์ บางเว็บไซต์เพื่อนๆ จะสามารถกดเลือกสินค้าที่เรานั้นสนใจและ save ไว้ก่อนได้ เพื่อใช้ในการตัดสินใจซื้อภายหลัง แต่สำหรับบางแพลตฟอร์มในกรณีที่สินค้าหมดเราก็สามารถเพิ่ม wish list ไว้ก่อนได้เช่นกัน และเมื่อของมาเพิ่มเราก็จะได้รับการแจ้งเตือน

8. Window Shopping = เลือกดูสินค้าแต่ไม่ได้ซื้อสินค้า

ปันโปรเชื่อว่าหลายคนเป็นนะข้อนี้ โยนๆ ใส่ตระกร้าไว้ เปิดเลือก ๆ ของใกล้เคียงกันเอาไว้หลายๆ หน้าต่าง อาจะยังไม่ได้ตัดสินใจเลือกสินค้าชิ้นใดชิ้นหนึ่ง นั่นแสดงว่าคุณคือนักช้อปแบบ Window Shopping จริง ๆ ก็อยากซื้อแหละ แต่อาจจะขอรอดูโปร รอเงินในกระเป๋าให้พร้อมกว่านี้ก่อน

9. Review = รีวิวสินค้า

เพื่อให้การตัดสินง่ายขึ้น เลิกเป็นนักช้อป Window Shopping  ก็ลองดูจากรีวิว จากลูกค้าที่ได้ซื้อสินค้าจากทางร้านค้าไปแล้ว อาจจะแวะเวียนมารีวิวหรือมาแชร์ประสบการณ์ว่าสินค้าเป็นยังไงบ้าง, รู้สึกชอบมากน้อยแค่ไหน หรือว่ามีอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบตรงไหนหรือเปล่า ให้คะแนนกี่ดาว เป็นต้น

10. QC = Quality Check ตรวจสอบคุณภาพแล้วเรียบร้อย

สินค้าที่อยู่ในร้านค้าต่างๆ ผ่านการเช็กและได้รับการตรวจสอบคุณภาพเรียบร้อยทุกชิ้นแล้ว ซึ่งลูกค้าสบายใจได้เลยว่าสินค้าต่างๆ ที่เราจะซื้อนั้นดีและมีประสิทธิภาพต่อการใช้งานอย่างแน่นอนจ้า

 

11. Trolley = รถเข็น / Basket = ตะกร้า

สินค้าไหนที่เราต้องการซื้อ เราก็สามารถใส่ไว้ในรถเข็นหรือตะกร้าก่อนได้เลย อย่างถ้าเราช้อปในแอปอย่าง Shopee , Lazada ก็จะใช้กระตร้า 1 ใบ ต่อ 1 ร้าน สามารถแยกจ่ายเงินเป็นร้านๆ ได้ แต่ถ้าเราช้อปกับทางร้านโดยตรง อย่าง Central ,  Watsons ก็จะมีแค่ตระกร้า เดียวนึกภาพเหมือนเราไปเดินที่ร้านจริง ๆ หยิบของมาใส่ หยิบเข้าหยิบออกได้ พอใจแล้วค่อยจ่ายเงิน

12. FAQ = Frequently Asked Question คำถามที่ถูกถามบ่อย

สำหรับคำถามไหนที่ทางร้านพบบ่อย เช่น สินค้าจัดส่งรอบวันไหนบ้าง, กี่วันสินค้าจะส่งถึง, สีของสินค้ามีสีอะไรบ้าง เป็นต้น ซึ่งทางร้านก็อาจจะเขียนกำกับและรวมไว้เลย เพื่อให้ลูกค้าต่างๆ สามารถเข้ามาเช็กลิสต์ข้อมูลต่างๆ กันได้อย่างสะดวก

13. Tax = ภาษี

ภาษีในการช้อปออนไลน์จะมีในสินค้าบางประเภท อย่างเช่น การสั่งของจากต่างประเทศ ซึ่งจะคิดเพิ่มเท่าไรหรือจ่ายเพิ่มกี่เปอร์เซอร์อาจจะขึ้นอยู่กับสินค้าแต่ละอย่างที่เราเลือกซื้อด้วย

14. Guarantee Shop = ร้านค้าที่ได้รับการการันตี

ถ้าเราไปซื้อของจากแพลตฟอร์มออนไลน์ Shopee, Lazada เขาก็จะมีการันตีให้ว่าร้านค้านี้ ส่งของจริง ผ่านการอบรมบางอย่างจากแพลตฟอร์มมาแล้ว มีฟีดแบคที่ดีจากลูกค้า ร้านที่มีการการันตีจากแอปก็จะเพิ่มความน่าเชื่อถือได้มากทีเดียว

15. Official Shop = ร้านค้าทางการ

จากข้อ 14 มักจะเป็นร้านเล็กๆ รับของมาขาย ไม่ได้เป็นแบรนด์ที่เราคุ้นเคย ส่วน Official Shop จะเป็นร้านค้าทางการที่ขายสินค้าจากแบรนด์โดยตรง อย่างเช่น OPPO Official Store, Lee.Officialshop, Big C และแบรนด์อื่นๆ  อันนี้เราแทบไม่ต้องกังวลอะไรเลย เพราะเราจะได้รับของแท้จากผู้ขาย เหมือนไปซื้อหน้าร้านยังไงยังงั้น


ประเภทที่ 2 การจัดส่ง


 

16. Payment Method = วิธีการชำระเงิน

หลังจากที่เราเลือกสินค้าต่างๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อถึงขั้นตอนการชำระเงิน ซึ่งในส่วนนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย โดยอาจจะเป็น ชำระด้วยวิธีโอนเงิน, เก็บเงินปลายทาง หรืออื่นๆ เป็นต้น

17. Order No. = หมายเลขการสั่งซื้อ

เลขรหัสสินค้าของเราโดยเมื่อเราจ่ายเงินเรียบร้อยแล้ว เพื่อนๆ ก็สามารถนำเลขตรงนี้ไปเช็กพัสดุในการรับของได้ว่าตอนไหนอยู่ที่ไหนแล้ว

18. Shipping Fee = ค่าจัดส่งสินค้า

คำนี้น่าจะคุ้นๆ กันอยู่ หลังจากสรุปบิลรายการสินค้า ทางร้านก็จะแจ้งราคาค่าส่งให้ลูกค้าได้ทราบ หรือในแอปก็จะแยกค่าส่งให้เราเห็นแบบชัด ๆ เลย ตัวเราก็อย่าลืมสังเกตด้วย จะได้ไม่งงว่าซื้อของ 100 บาท แต่ทำไมยอดรวมเป็น 120 เพราะมันอาจจะมีค่าส่งเพิ่มมาไงล่ะ 

19. Free Shipping = จัดส่งฟรี

เขียนคล้ายๆ แต่ความหมายตรงกันข้าม Fee ต้องจ่าย แต่ถ้ามี r เพิ่มมาเมื่อไหร่ กลายเป็นของหวานทันที ส่งฟรีดีใจต่อใจ ถ้าร้านค้าให้ใส่ว่า Free Shipping เอาไว้ก็ไม่ต้องกังวัลค่าส่ง แต่อาจจะมีเงื่อนไขเพิ่มเข้ามาเช่น ส่งฟรีเมื่อซื้อขั้นต่ำเท่านี้ ส่งฟรีเมื่อจ่ายเงินช่องทางนี้ แตกต่างกันไป

20. Main Address = ที่อยู่ในการจัดส่ง

ที่อยู่ในการจัดส่งถ้าซื้อขายทางไลน์หรือไอจีตรงนี้เราก็สามารถบอกแม่ค้าเป็นครั้ง ๆ ได้ แต่พอช้อปผ่านเว็บ ผ่านแอปแล้วเนี่ยต้องดูให้ดีทุกครั้ง

21. Tracking Number = เลขติดตามสินค้า

เมื่อทางร้านจัดส่งสินค้าต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทางร้านจะส่งเลขติดตามสินค้าให้กับลูกค้าแต่ละท่าน เพื่อให้ลูกค้าได้เช็กว่าสินค้าของตนตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว เข้าระบบแล้วหรือยัง หรือใกล้จะถึงเราแล้วหรือยัง โดยเราสามารถนำตัวเลขนี้ไปเช็กได้ที่เว็บไซต์ของบริษัทขนส่งได้เลยจ้า

22. In Store Order = การสั่งซื้อสินค้าพร้อมส่ง

สินค้าพร้อมส่งเป็นสินค้าที่ทางร้านมีอยู่ในคลังเรียบร้อยแล้ว ซึ่งถ้าหากเพื่อนๆ ต้องการสั่งก็สามารถแจ้งกับทางร้านได้เลย โดยสินค้าประเภทนี้เขาจะพร้อมส่งให้ลูกค้าได้อย่างทันที

23. Pre-Order = สั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า

เป็นการสั่งจองสินค้าที่ตอนนี้อาจจะยังไม่ได้มีในร้าน แต่สินค้ากำลังจะมาในช่วงเร็วๆ นี้ ซึ่งลูกค้าสามารถสั่งซื้อไว้ได้ล่วงหน้าและรอรับของได้ทีหลัง โดยทางร้านอาจจะเก็บเงินค่ามัดจำไว้ก่อนเพื่อเป็นการยืนยันสิทธิ์ 

24. Return = การคืนสินค้า

ในกรณีที่เราสั่งสินค้าแต่สินค้าที่เราได้กลับมีปัญหา, ชำรุด, เสียหายระหว่าง หรืออะไรอื่นๆ ก็แล้วแต่ ลูกค้าสามารถแจ้งกลับไปที่ร้านค้าออนไลน์ได้เพื่อทำการคืนสินค้า 


ประเภทที่ 3 โปรโมชั่น


 

25. Deal = ข้อเสนอ

โปรโมชั่นต่างๆ ที่ตอนนี้ทางร้านเขากำลังจัดโปรอยู่ อย่างเช่น ตอนนี้มีโปรร้านเสื้อผ้า ซื้อ 3 แถม 1 หรือโปรโมชั่นซื้อครบ 500 ลด 10 % เป็นต้น โดยในส่วนนี้ต้องขึ้นอยู่โปรโมชั่นของแต่ละร้านที่เขาจัดไว้ ซึ่งเพื่อนๆ ก็สามารถเข้าไปเช็กได้อยู่เสมอๆ 

26. Deals Of The Day = ข้อเสนอที่มีจำหน่ายสำหรับวันนี้เท่านั้น 

ข้อนี้หมายถึงโปรโมชั่นรายวันที่ทางร้านค้าได้จัดไว้ อาจจะเป็นส่วนลดพิเศษๆ, ดีลดีๆ มอบให้แก่ลูกค้า, โปรโมชั่นต่างๆ แต่ต้องเป็นเฉพาะวันนี้เท่านั้น อย่างเช่น ช้อปปิ้ง 11.11 ของ Lazada แจก 111 ล้านคูปองเฉพาะวันที่ 11 พ.ย. เท่านั้น หรือ 11.11 ของ Shopee ที่จะมีทั้งลดราคา, มีดีลดีๆ ให้แก่ลูกค้าและกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย เป็นต้น

27. Sale = ลดราคา

คำนี้ใครๆ ก็รู้เนอะ แถมชอบมากด้วย ปันโปรเราก็โปรดแบบสุดๆ เลยล่ะ Sale แน่ล่ะ มันคือสินค้าลดราคา ซึ่งอาจจะอิงหรือไม่อิงโปรโมชั่นในช่วงนั้นก็ได้ แต่ร้านค้าอยากลดราคาของชิ้นนี้ก็แปะป้ายเซลเอาไว้ให้ลูกค้ารู้ว่ามีการลดราคาลงมา โดยไม่ได้กำหนดเวลาที่ชัดเจนสักเท่าไหร่

28. Flash Sale = ลดราคาสินค้าในช่วงเวลาสั้นๆ

ต่อยอดจากข้อ 19 ถ้าคนรุ่นพ่อรุ่นแม่เราจะรู้จักในชื่อนาทีทอง จัดตามหน้าร้าน ตามงานกาชาดต่างๆ ที่ร้านค้าจะเอาของมาลดราคา ใน "เวลาที่จำกัด" เช่น 1 ชั่วโมง 1 วัน แต่จะไม่ยาวกว่า 1 วัน นอกจากนี้ Flash Sale จะจำกัดจำนวนของเพื่อให้เรารู้สึกว่าต้องรีบซื้อนั่นเอง

29. Member Sale = ลดราคาเฉพาะสมาชิก

รายการเซลประเภทนี้จะเห็นได้บ่อยจากสายการบิน ช่องทางออนไลน์ของห้างสรพพสินค้า ที่มักเปิดให้สมาชิกที่มีบัตรเข้ามาซื้อสินค้าให้ก่อน หรือในบ้างครั้งของที่ลดราคาอยู่แล้ว จะได้ลดเพิ่มอีกหากเราเป็นเมมเบอร์ของร้านค้านั้นๆ

 

 

30. Clearance = สินค้าค้างสต๊อก

หากเซลแล้วเซลอีก สินค้าก็ยังค้างสต๊อกหรืออาจจะยังขายไม่หมด อาจจะเพราะตกยุค ไม่เป็นที่นิยมแล้ว หรือบางครั้งก็อาจจะเป็นสินค้าที่ชำรุด ส่งคืนต่างๆ ทางร้านก็จะนำสินค้าเหล่านี้มาเซลขายอีกรอบ โดยให้ส่วนลดสูงถึง 90% 

31. Black Friday = กิจกรรมลดราคาสินค้าครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปี

Black Friday เป็นวัฒนธรรมงานเซลที่มาจากแถบอเมริกา จะเกิดขึ้นหลังจากวัน Thanksgiving ที่เป็นเทศกาลสำคัญของชาวคริสต์ เหมือนเราที่เรามักจะออกไปจับจ่ายซื้อของกับครอบครัวในช่วงสงกรานต์อะไรแบบนี้ ปัจจุบันแคมเปญงานเซลออนไลน์ก็เอามาใช้เป็นกิมมิก มักจะจัดในวันศุกร์สิ้นเดือนเพื่อหลอกเดือนของเราให้หายไปในคืนวันศุกร์นั้นเอง

32. Cyber Monday = เทศกาลลดราคาของร้านค้าออนไลน์

Cyber Monday ก็มาจากทางอเมริกาเช่นกัน จะคล้ายๆ กับเทศกาล Black Friday Sale แตกต่างกันที่ Cyber Monday จะเน้นไปที่การลดราคาสินค้าออนไลน์ ซึ่งถือเป็นเทศกาลการลดครั้งใหญ่ของปี ในไทยอาจจะยังไม่นิยมนัก แต่ใครที่สั่งของจากต่างประเทศบ่อยๆ ต้องจ้องเอาไว้เลย เพราะต่างประเทศเค้าลดหนักคุ้มค่าส่งแน่นอน

33. Partner Campaign = โปรโมชั่นร่วมกันระหว่างแบรนด์

การร่วมมือกันระหว่างแบรนด์ 2 แบรนด์เพื่อทำการโปรโมทแบรนด์ทั้งคู่เพราะมีเป้าหมายร่วมกัน และทำให้แบรนด์ที่ทำร่วมกันสามารถสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าต่างๆ ได้มากยิ่งขึ้น อย่างเช่น แบรนด์ปันโปรโมชั่น x แบรนด์ร้านอาหาร สร้างโปรดีๆ ในชุดอาหาร เพียงเท่านี้ก็ทำให้ผู้คนรู้สึกสนใจสิ่งนี้ได้มากยิ่งขึ้นแล้วจ้า

34. Coins or Point = เหรียญหรือแต้ม

สำหรับการช้อปบางแพลตฟอร์มเราอาจจะได้รับสิ่งนี้หลังจากที่เราช้อปปิ้งเสร็จเรียบร้อย ซึ่งเหรียญหรือแต้มนี้เพื่อนๆ ก็อาจจะนำไปใช้เป็นส่วนลดต่างๆ ได้ในครั้งต่อไป โดยเวลาที่มีแคมเปญหรือเทศกาลงานเซลต่างๆ ก็จะมีการแจกคอยส์เพิ่ม x2 เพื่อให้เรารู้สึกคุ้มขึ้นอีกนอกจากการได้ลดราคา

35. Redeem = แลกสินค้า

หลังจากที่เราสะสมคอยส์ หรือแต้มมาพอสมควรแล้ว ก็นำเอาแต้มที่พอดีกับจำนวนที่แอปกำหนด มีทั้งใช้แทนเงินสดเพื่อเป็นส่วนลดซื้อสินค้า หรือใช้แต้มนั้นแลกของมาเป็นชิ้น ๆ เลย


ประเภทที่ 4 ตัวย่อ


 

36. CF = คอนเฟิร์มซื้อของ

ต้องบอกก่อนว่าหมวดนี้สำหรับนักช้อปโซเชียลโดยเฉพาะจะได้คุยกับแม่ค้ารู้เรื่องเนอะ เวลาที่เกิดการซื้อขายโดยเฉพาะการ LIVE หากเราถูกใจสินค้าชิ้นนั้น ต้องการยืนยันการซื้อ เพียงแค่เพื่อนๆ พิมพ์ว่า CF เพียงเท่านี้แม่ก็จะรู้แล้วว่าสินค้าชิ้นนี้พร้อมปล่อย เข้าสู่ขั้นตอนการจ่ายเงินกันต่อไป

37. F = จองสินค้าแต่ยังไม่ซื้อ

ต่อจาก CF หากสินค้าชิ้นนั้นมีคน CF ไป แต่เค้าอาจจะกำลังดูของอยู่ หรือยังไม่ได้โอนเงินเสร็จสมบูรณ์ เราที่อยากได้สินค้าชิ้นนั้นเหมือนกัน เราก็ขอ F ต่อคิวไว้ บางร้านก็ใช้วิธี พิมพ์เลขต่อคิว แล้วแต่แต่ละร้านจะตกลงกันเลย

38. CF1 = การต่อคิว

อันนี้จะเข้มข้นกว่าการ F เฉยๆ คือซื้อแน่ๆ สินค้ามีเยอะพอ ถึงคิวเมื่อไหร่พร้อมโอนทันที หรืออีกนัยแม่ค้าอาจจะนำลำดับตรงนี้ไปเป็นลำดับการโอนเงิน ส่งของ ทางร้านอาจจะต้องมีการทำ CF แล้วตามด้วยตัวเลข อย่างเช่น CF1, CF2, CF3 ... เป็นต้น 

39. CC = ยกเลิก

แต่หากใครที่รู้สึกว่าเราไม่อยากได้สินค้าที่เราจองไปแล้ว เพราะอาจจะเจอสินค้าใหม่ที่น่าสนใจมากกว่า เราก็ต้องส่งสัญญาณให้ผู้ขายได้ทราบด้วยการ CC ในช่องทางคอนเมนต์ เพื่อเป็นเปิดโอกาสให้ผู้ช้อปคนอื่นๆ ได้มีโอกาส F หรือ CF กันต่อจ้า

4o. CF ON CC = ซื้อแล้วไม่มีการให้ยกเลิก

และถ้าเจอแม่ค้าบอกเราว่า CF ON CC ให้คิดดีๆเลยก่อนที่จะ CF ของสักชิ้น เพราะหากกดคอนเฟิร์มเรียบร้อยแล้ว ห้ามกดยกเลิก ซึ่งจริงๆก็ชิ่งได้ล่ะ หากยังไม่โอนเงิน แต่ไม่ดี ไม่น่ารักเลยนะ แม่ค้าอาจจะฉาบเราได้

41. IB = Inbox 

เป็นธรรมดาที่เมื่อเราต้องการจะซื้อสินค้าต่างๆ แล้ว เราก็ต้องอยากรู้รายละเอียด ไม่ว่าจะเป็น สินค้ามีสีอะไรบ้าง, มีขนาดไหนบ้าง, กี่วันทางร้านถึงจัดส่ง และอื่นๆ โดยเราสามารถเข้าไปถามรายละเอียดต่างๆ ได้ทาง inbox ของร้านค้าได้เลย ซึ่งคำนี้มักจะพบได้ในแพลต์ฟอร์มของ Faecbook

42. DM = Direct Message

สำหรับในข้อนี้ก็จะคล้ายๆ กับข้อที่ 5 โดยจะเป็นการสอบถามรายละเอียดต่างๆ ของผู้ขายโดยตรงในช่องทางของ Instagram เกี่ยวกับรายละเอียดของสินค้าต่างๆ โดยผู้ขายจะเห็นข้อความดังกล่าวเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น

 

43. COD = Cash On Delivery 

คำๆ นี้นักช้อปทั้งหลายต้องเคยเห็นกันในทุกๆ แพลตฟอร์มของการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ทั้ง Shopee, Lazada, JD CENTRAL เพราะเมื่อเพื่อนๆ ซื้อของเรียบร้อย หากใครที่ไม่สะดวกในการโอนเงิน เราก็สามารถเลือกให้ทางร้านจัดส่งแล้วเก็บเงินปลายทางได้ 

44. REG = Registration

สำหรับการจัดส่ง ทางร้านค้าจะสอบถามลูกค้าในช่องทางแชทของแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางโซเชียล, บริษัทขนส่งต่างๆ ว่าลูกค้าจะเลือกส่งอย่างไร และ REG จะหมายถึงการจัดส่งแบบลงทะเบียน ซึ่งการจัดส่งแบบนี้จะใช้เวลาในการส่ง 2-5 วัน

45. EMS = Express Mall Service

สำหรับใครที่ต้องการของไวๆ ก็สามารถแจ้งทางร้านผ่านทางแชทของแพลตฟอร์มที่เราเลือกใช้บริการได้เลย ไม่ว่าจะเป็น ช่องทางโซเชียล, บริษัทขนส่งต่างๆ เป็นต้น ว่าเราต้องการส่งแบบ EMS ซึ่งการส่งแบบนี้จะหมายถึง การจัดส่งพัสดุแบบด่วนพิเศษ เหมาะสำหรับคนที่จำเป็นต้องใช้ของเร็ว ภายใน 1-2 วัน

46. รส. / รวมส่ง

เมื่อเราเลือกสินค้าพร้อมแจ้งรายละเอียดต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ทางร้านค้าเขาก็จะรีเช็กหรือทวนรายละเอียดต่างๆ ให้กับคุณลูกค้าในแพลตฟอร์มของ Inbox, Direct Message หรือช่องทางแชทอื่นๆ อีกครั้ง ทั้ง รายละเอียดสินค้าสั่งกี่อัน สีอะไร ราคาเท่าไร บวกกับรวมค่าจัดส่งเรียบร้อยแล้วเป็นเท่าไร ซึ่งก็จะย่อสั้นๆ เป็น รส. นั่นเอง 

47. ตย. / ตัวอย่าง

เมื่อลูกค้ารู้สึกสนใจสินค้าแต่ก็ยังไม่แน่ใจว่าจะซื้อดีไหม ลูกค้าสามารถสอบถามทางร้านค้าไปในช่องทางของการแชทส่วนตัวหรือจะเป็นบนคอนเมนต์ของสื่อโซเชียลต่างๆ ก็ได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น Facebook, IG หรือ Twitter เพื่อขอดูตัวอย่างสินค้าในการประกอบการตัดสินใจ ซึ่งในส่วนนี้ก็จะทำให้ลูกค้าเห็นภาพต่างๆ ได้อย่างชัดเจนและช่วยให้การเลือกซื้อนั้นง่ายดายยิ่งขึ้น

48. พต. / เพิ่มเติม

สำหรับ พต. จะคล้ายๆ กับ ตย. แต่จะแตกต่างกันตรงที่อยู่จะเป็นเพิ่มเติมในส่วนของเนื้อหา โดยผู้ซื้อสามารถขอข้อมูลทางแชทส่วนตัวบนแพลตฟอร์มที่ซื้อของได้ เกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆ ของสินค้าในเชิงลึกเพื่อนำมาใช้ในการตัดสินใจ

49. สต. = ส่วนตัว 

ส่วนตัวในที่นี้จะหมายถึง ลูกค้าต้องการคุยและสอบถามรายละเอียดส่วนตัวต่างๆ กับทางร้านค้าโดยตรงเกี่ยวกับตัวสินค้าที่เราต้องการซื้อ ซึ่งเพื่อนๆ สามารถเข้าไปได้ที่ inbox หรือ direct message หรือช่องทางการแชทอื่นๆ ซึ่งคำๆ นี้เรามักจะพบได้บ่อยในทกๆ แพลตฟอร์มที่เราใช้บริการซื้อสินค้าออนไลน์

50. หนักบวกเพิ่ม = ส่งน้ำ "หนัก" เพิ่ม "บวก" ค่าส่ง "เพิ่ม"

ในการจัดส่งสินค้าแต่ละครั้ง ทางร้านก็แจ้งให้ลูกค้าทราบก่อนว่าค่าจัดส่งเท่าไร และหากสินค้าที่ส่งมีน้ำหนักที่มากขึ้น อาจทำให้ร้านค้ามีการเก็บค่าส่งเพิ่มได้โดยเขาจะเขียนว่า หนักบวกเพิ่ม บางร้านก็จะเขียนแจ้งหน้าเพจของร้าน, เขียนกำกับใต้สินค้า หรือบางร้านก็อาจจะแจ้งลูกค้าตอนรวมบิลในภายหลังทีเดียว

 


🌈 ปันโปรสรุปให้ 🌈

 • เพื่อให้การช้อปออนไลน์ของเรานั้นง่ายดายยิ่งขึ้น ยังไงเพื่อนๆ ก็อย่าลืมเซฟลิงก์นี้เก็บไว้กันด้วยน้า ถือเป็นคู่มือส่วนตัวไว้สำหรับเช็กลิสต์กันจ้า ^^

 • สำหรับมือใหม่เริ่มช้อป หากเพื่อนๆ ต้องการให้จำง่ายขึ้น การจำเป็นประเภทๆ แบ่งเป็นหมวดหมู่ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยได้เหมือนกันน้า

 • ถ้าครั้งหน้ามีคำศัพท์อะไรเกี่ยวกับการช้อปออนไลน์เพิ่มเติม เดี๋ยวแอดจะมาแชร์ให้เพื่อนๆ กันใหม่อีกนะ รอติดตามข้อมูลดีๆ ได้ที่ ปันโปร เลยจ้าา

แสดงความคิดเห็น